บทความนี้จะมาพูดถึงแนวทางการฝึกฟังและเทคนิคในการทำข้อสอบ IELTS Listening เพื่อให้สามารถเลือกคำตอบได้ถูกต้องและรวดเร็ว ซึ่งก่อนอื่นเราต้องมาเข้าใจก่อนว่าโครงสร้างของข้อสอบ IETLS Listening เป็นอย่างไร
ในการสอบ IELTS Listening คุณจะได้ฟังทั้งหมด 4 คลิป
- คลิปแรก จะเป็นบทสนทนาระหว่างคน 2 คนเกี่ยวกับหัวข้อทั่วไป
- คลิปที่สอง จะเป็นบทพูด Monolog หรือการพูดคนเดียวเกี่ยวกับหัวข้อทั่วไป
- คลิปที่สาม จะเป็นการพูดเป็นกลุ่ม ซึ่งบางทีอาจจะมีถึง 4 คน โดยจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับหัวข้อ เกี่ยวกับการเรียน การพูดคุยเกี่ยวกับ Project ที่จะต้องเสนอในห้องเรียน
- คลิปที่ 4 ก็คือเป็นบทพูดของคนคนนึงใน Topic เชิงวิชาการ หรืออาจจะเป็นบทเลคเชอร์จากอาจารย์ท่านหนึ่งก็เป็นได้
ข้อสอบจะมีทั้งหมด 40 ข้อและให้ทำภายในเวลา 30 นาที โดยหากเป็นการสอบ Paper จะได้เวลาเพิ่มอีก 10 นาทีเพื่อเขียนคำตอบลงในกระดาษคำตอบ และเมื่อรู้ถึงโครงสร้างของข้อสอบ IELTS แล้ว เราก็มาดูกันในเรื่องของวิธีการฝึกฟัง
ทักษะการฟังเป็นทักษะที่พัฒนาได้ง่ายที่สุดในทั้ง 4 ทักษะ โดยการฝึกฟังที่ดีคือการเอาตัวเองไปฟังในสิ่งที่ชอบในทุกๆ วัน วันละนิดวันละหน่อยก็เพียงพอ แต่สิ่งสำคัญคือต้องฝึกทุกวัน การฝึกฟังไม่จำเป็นที่จะต้องเอาข้อสอบมาฟัง แต่ให้ฟังอะไรก็ได้รอบๆ ตัว ฟังอะไรก็ได้ที่เราสนใจ ไม่ว่าจะเป็นการฟังเพลง ฟังหนัง ฟังซีรีย์ภาษาอังกฤษ หรือแม้กระทั่งการฟัง Audio Book โดยไม่จำเป็นต้องเลือกฟังอันที่มีเนื้อหายาก เพราะถ้ายากเกินไปจนฟังไม่ค่อยเข้าใจ อาจจะทำให้เราเบื่อหน่ายในการฝึกไปซะก่อน ให้เลือกเอาในระดับที่พอฟังได้ ฟังเพลิน ไม่ยากจนเกินไป เพื่อที่จะสามารถนำมาฝึกฟังได้บ่อยๆ และจะเกิดผลดีในระยะยาว
สุดท้ายก็มาดูกันในเรื่องของเทคนิคในการคว้า IELTS Listening 9.0 เต็ม 9.0 แต่ก่อนอื่นควรจะต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่าการได้คะแนนเต็มไม่ได้หมายความว่าต้องทำได้หมดทุกข้อ อาจมีบางข้อที่ฟังไม่ทันหรือไม่คุ้นสำเนียง ก็ให้เลือกตอบในสิ่งที่เข้าใจ อะไรที่ฟังไม่ออกจริงๆ ก็เดาไปเลย อย่าเสียเวลาอยู่กับข้อใดข้อหนึ่งนานๆ ควรเอาเวลาไปทำข้อที่เหลือที่อาจจะง่ายกว่า เพราะในทุกๆ ข้อเขาให้คะแนนเราเท่ากัน และสำหรับเทคนิคในการทำข้อสอบ IELTS Listening ก็คือเราจะใช้หลักการ APT
A คือ Analyze = วิเคราะห์โจทย์ก่อนฟังว่าโจทย์นั้นๆ เป็นโจทย์ประเภทไหน โจทย์ระบุมาไหมว่าจะต้องตอบกี่คำหรือมีตัวเลขอย่างไรบ้าง และเมื่อดูโจทย์โดยรวมแล้ว ก็ให้วิเคราะห์ว่าบทสนทนานี้น่าจะเกิดขึ้นที่ไหน เกี่ยวกับอะไร ใครหรือตำแหน่งไหนควรเป็นคนที่จะพูดเกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ ซึ่งส่วนนี้ควรจะใช้เวลาน้อยกว่า 1 นาที จึงควรหมั่นฝึกฝนจนสามารถทำได้เร็ว
P คือ Prediction = การคาดเดา ก็คือการดูโจทย์และคาดเดาส่วนของคำตอบว่าถ้าถามแบบนี้ คำตอบน่าจะเป็นแบบไหน เช่น ถ้าเกี่ยวกับเรื่องเบอร์โทร แสดงว่าจะต้องคอยฟังตัวเลขหรือถ้าเป็นชื่อ-นามสกุล หรือชื่อ-ที่อยู่ ก็เป็นไปได้ว่าเขาจะทวน เขาจะสะกดให้ฟัง จำไว้ว่าข้อสอบ IELTS Listening ก็ไม่ใช่ว่ามันจะยากเสมอไป เพราะอย่างน้อย 90 กว่าเปอร์เซ็นต์ของคำตอบ มันจะเรียงกัน คือฟังตั้งแต่แรก แล้วคำตอบมันก็จะเรียงกันมา มันจะมีไม่กี่ข้อที่กระโดดไปมา ซึ่งข้อนั้นจะเป็นข้อยาก ถ้าเราทำได้ก็จะดี แต่ถ้าเราทำไม่ได้ก็ให้เดาไปได้เลย
T คือ Track = การคอยจับว่าคีย์เวิร์ดในโจทย์ มันอยู่ตรงไหนของบทที่เรากำลังฟัง แต่ระวังว่ามันอาจจะไม่ใช่คำเดียวกันเสมอไป เขาอาจจะใช้คำ Synonym ก็คือเป็นคำศัพท์อื่นที่มีความหมายคล้ายกับคีย์เวิร์ด แต่ไม่ใช่คำคีย์เวิร์ดเป๊ะๆ ดังนั้นความรู้ในเรื่องของคำศัพท์ ก็เป็นเรื่องที่จะต้องฝึกด้วย คอยฟังสิ่งที่บทพูดเขาพูด อ่านโจทย์ และเขียนคำตอบ ทั้ง 3 อย่างนี้จะต้องทำภายในเวลาเดียวกัน ซึ่งเป็นทักษะข้อสอบที่จะต้องฝึกทำตรงนี้ให้มากๆ จนเป็นความเคยชิน เวลาทำข้อสอบจริงจะได้สามารถทำทุกอย่างในเวลาเดียวกัน โดยให้เขียนคำตอบลงในส่วนของข้อสอบก่อน เพราะว่าจะเหลือเวลา 10 นาทีสุดท้ายในการที่จะถ่ายคำตอบไปที่กระดาษคำตอบ และที่สำคัญคือเวลาฟังต้องฟังให้จบประโยค อย่าเพิ่งรีบตอบ เพราะในบางครั้ง IELTS จะชอบโยนตัวแกล้งมาให้ อย่างเช่น การที่คนพูดเปลี่ยนใจ และถ้าเราจับคำแรกแล้วไม่ฟังอะไรต่อเลย ก็จะกลายเป็นว่าเราได้คำตอบที่ผิด ดังนั้นฟังให้จบประโยคก่อน ฟังให้แน่ใจก่อนว่านี่คือสิ่งที่บทพูดถึงใช่ไหมหรือมีการเปลี่ยนแปลงภายหลัง แล้วจึงจะเลือกคำตอบที่เหมาะสม แต่ถ้าฟังไม่ทันจริงๆ ก็สามารถเดาได้เต็มที่ เลือกคำตอบมาเขียนลงไปแล้วก็ไปข้อต่อไปโดยที่ไม่ต้องกังวลข้อนั้น เพราะอย่าลืมว่าคะแนนที่เราต้องการมันผิดได้เยอะ
สำหรับส่วนสุดท้ายของการสอบ IELTS Listening ก็คือ 10 นาทีที่เขาให้เวลาในการถ่ายคำตอบลงในกระดาษคำตอบ ส่วนนี้เป็นสิ่งที่สำคัญ โดยมี 2 อย่างที่จะต้องเช็กให้ดี อย่างแรกคือดูว่าคำตอบที่เราตอบตรงกับคำตอบในกระดาษคำตอบไหม อันนี้อาจจะดูเหมือนไม่ใช่สิ่งที่จะต้องกังวล แต่บอกเลยว่าถ้าลงผิดข้อนึง ข้อที่เหลือก็คือจะผิดไปหมดเลย ซึ่งก็จะน่าเสียดายมากๆ และอย่างที่ 2 ที่ต้องระวังก็คือโจทย์เขาให้ตอบได้กี่คำ เช่น เขาระบุว่า No More Than 2 Words หรือ No More Than 3 Words ให้ดูตรงนี้ให้ดีและอย่าลงเกินจำนวนคำที่เขาระบุ
สิ่งที่จะช่วยให้คุณได้คะแนนระดับ 9.0 ได้มากที่สุดก็คือการฝึกทักษะ อยากให้ใช้เวลาในส่วนของการฝึกทักษะให้มากถึง 80 เปอร์เซ็นต์ แล้วค่อยเอาเวลา 20 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือไปฝึกเทคนิคของข้อสอบ เพราะบอกเลยว่าถ้าคุณฟังเข้าใจ ไม่ว่าข้อสอบอะไรก็ทำได้ แต่ถ้าฝึกฟังแบบลวกๆ เอะอะก็ทำแต่ข้อสอบ แบบนี้ถึงจะมีเทคนิคเทพขนาดไหน คีย์เวิร์ดแม่นขนาดไหน นักเรียนก็ทำคะแนนที่ต้องการไม่ได้อยู่ดี
ครูได้จัดคลาสฟรีที่ชื่อว่า IELTS Speaking ไว้ช่วยให้นักเรียนที่กำลังเตรียมสอบ IELTS เข้าใจถึงความต้องการจริงของข้อสอบนี้ และวิธีฝึกภาษาอังกฤษเพื่อที่จะมีพื้นฐานเพียงพอในการทำระดับคะแนนที่ตนเองต้องการ
นอกจากนั้น ครูจะสอนเทคนิค 3 ขั้นตอนในการพิชิต IELTS Speaking Part 2 ซึ่งเป็นพารท์ที่ยากที่สุดของการสอบ Speaking เลยล่ะ
ท้ายคลาสจะมีการแจกบทสรุป IELTS ทั้ง 4 ทักษะด้วยนะ คลิกที่ลิงค์นี้เพื่อเข้าดูรอบเรียนที่ยังไม่เต็ม
50% Complete
Lorem ipsum dolor sit amet, consectetur adipiscing elit, sed do eiusmod tempor incididunt ut labore et dolore magna aliqua.